3 STEP เข้าใจธุรกิจในภาพเดียว – คู่มือวิเคราะห์หุ้นสำหรับมือใหม่
3 STEP เข้าใจธุรกิจในภาพเดียว – คู่มือวิเคราะห์หุ้นสำหรับมือใหม่
การลงทุนในหุ้น ไม่ได้หมายความว่าเรากำลังซื้อ “ตัวเลขราคา” ขึ้นลงบนหน้าจอ แต่จริง ๆ แล้วเรากำลัง “เป็นเจ้าของธุรกิจ” ธุรกิจหนึ่งนั่นเอง
นั่นหมายความว่า หากจะลงทุนในหุ้นใดหุ้นหนึ่ง เราต้องถามตัวเองก่อนเสมอว่า “ธุรกิจนี้ทำอะไร แข็งแรงไหม และคุ้มค่าที่จะถือระยะยาวหรือเปล่า?”
Framework “3 STEP เข้าใจธุรกิจในภาพเดียว” ที่เราจะพูดถึงนี้ จึงถูกออกแบบมาเพื่อให้นักลงทุน ไม่หลงทาง และสามารถมองธุรกิจอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจ
STEP 1 เข้าใจก่อนว่า.. ธุรกิจทำอะไร?
1.1 ธุรกิจเกี่ยวกับอะไร
เริ่มจากการเข้าใจว่า “บริษัทหาเงินจากอะไร” เช่น PTT ขายพลังงาน, CPALL ทำค้าปลีก, AOT บริหารสนามบิน ฯลฯ การรู้โมเดลรายได้คือก้าวแรกที่จะทำให้เราเข้าใจความแข็งแรงและความเสี่ยง
1.2 ใครคือลูกค้า
ธุรกิจที่พึ่งพาลูกค้ากลุ่มเดียวมากเกินไป อาจเสี่ยง เช่น บริษัทที่พึ่งรายได้จากรัฐเพียงเจ้าเดียว หากรัฐหยุดสัญญา รายได้จะหายไปทันที
1.3 สินค้า/บริการมีคุณค่าแค่ไหน
ลองถามว่า “ถ้าวันหนึ่งธุรกิจนี้หายไป จะมีใครเดือดร้อนหรือไม่?”
ถ้าใช่ → แสดงว่าบริษัทสร้างคุณค่าจริง เช่น AIS, TRUE ที่คนพึ่งพาอินเทอร์เน็ต
ถ้าไม่ → อาจหมายถึงธุรกิจยังไม่มี “Moat” (คูเมือง) ที่แข็งแรง
1.4 การแข่งขันในตลาด
ตลาดผูกขาด → โอกาสกำไรสูง เช่น การบินไทย (ช่วงก่อนเสรีการบิน) หรือการไฟฟ้า
ตลาดแข่งขันสูง → มีกำไรน้อยลง เช่น ร้านกาแฟที่เปิดแข่งกันมากมาย
1.5 การตลาดและแบรนด์
แบรนด์ที่แข็งแรงทำให้ตั้งราคาได้สูงขึ้น เช่น Apple ที่ขาย iPhone แพงกว่าคู่แข่ง แต่คนยังยอมจ่าย
1.6 ทีมผู้บริหาร
ธุรกิจดีแค่ไหน ถ้าเจอผู้บริหารที่ไม่โปร่งใส ก็เสี่ยง นักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ถึงกับบอกว่า “ลงทุนในธุรกิจที่ผู้บริหารไว้ใจได้”
STEP 2 เรื่องการเงินภายใน
ถ้าเปรียบธุรกิจเหมือนคน งบการเงินก็คือผลตรวจสุขภาพ และเราต้องดูทั้ง 3 ใบตรวจหลัก
2.1 งบดุล (Balance Sheet)
สินทรัพย์ = สิ่งที่บริษัทเป็นเจ้าของ
หนี้สิน = สิ่งที่ต้องจ่าย
ส่วนของผู้ถือหุ้น = ส่วนต่างที่เป็นของเจ้าของ
ตัวชี้วัดสำคัญ: D/E Ratio (Debt to Equity)
ถ้าสูงเกินไป → แสดงว่าบริษัทพึ่งพาหนี้มาก อาจเสี่ยงหากดอกเบี้ยขึ้น
ถ้าต่ำ → แสดงว่ามีเสถียรภาพทางการเงิน
หากอยากทำความเข้าใจงบดุลเพิ่มขึ้น คลิก งบดุล คืออะไร? เครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้
2.2 งบกำไรขาดทุน (Income Statement)
รายได้ (Revenue) → โตขึ้นหรือไม่
ค่าใช้จ่าย (Expenses) → คุมได้ดีไหม
กำไรสุทธิ (Net Profit) → โตต่อเนื่องหรือไม่
ตัวอย่าง: CPALL รายได้โตต่อเนื่องจากการขยายสาขา 7-Eleven สะท้อนว่าธุรกิจยังแข็งแรง
หากอยากทำความเข้าใจงบกำไร-ขาดทุน เพิ่มขึ้น คลิก งบกำไรขาดทุนคืออะไร? เครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนควรเข้าใจ
2.3 งบกระแสเงินสด (Cash Flow Statement)
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (Operating Cash Flow) → ถ้าบวกต่อเนื่อง แสดงว่าธุรกิจสร้างเงินสดจริง
กระแสเงินสดจากการลงทุน (Investing) → ใช้เงินไปลงทุนในอนาคต
กระแสเงินสดจากการจัดหาเงิน (Financing) → กู้เพิ่มหรือลดหนี้
หากอยากทำความเข้าใจงบกำไร-ขาดทุน เพิ่มขึ้น คลิก งบกระแสเงินสดคืออะไร? กำไรสูง แต่ เงินสดติดลบอาจเป็นข่าวร้าย?
STEP 3 วิธีตีมูลค่าบริษัทฯ
เข้าใจธุรกิจแล้ว ดูงบการเงินแล้ว คำถามต่อมาคือ… “หุ้นนี้ถูกหรือแพง?”
3.1 P/E Ratio (Price to Earnings Ratio)
สูตร: ราคาหุ้น ÷ กำไรต่อหุ้น (EPS)
ตัวเลขยิ่งต่ำ = หุ้นอาจถูก (ถ้าไม่ได้อยู่ในธุรกิจที่เสี่ยงตกต่ำ)
เช่น หุ้น A P/E = 10 เท่า, หุ้น B P/E = 30 เท่า → หุ้น A ดูถูกกว่า แต่ต้องดูว่า A โตช้ากว่า B หรือไม่
3.2 P/BV Ratio (Price to Book Value Ratio)
สูตร: ราคาหุ้น ÷ มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น
ถ้า P/BV < 1 → หุ้นซื้อขายถูกกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่ถืออยู่
ใช้กับธุรกิจที่มีสินทรัพย์ชัดเจน เช่น ธนาคาร, บริษัทอสังหาริมทรัพย์
3.3 DDM (Dividend Discount Model)
ประเมินจากเงินปันผลที่จะได้รับในอนาคต
เหมาะกับหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอ เช่น SCC, ADVANC
การลงทุนไม่ใช่เรื่องของโชค แต่คือ “การวิเคราะห์” Framework 3 STEP เข้าใจธุรกิจในภาพเดียวนี้ จึงเป็นเหมือน Checklist ที่ช่วยให้นักลงทุนไม่พลาดจุดสำคัญ
Warren Buffett เคยบอกว่า
“เวลาที่ดีที่สุดในการถือหุ้นดี ๆ คือ ตลอดไป”
ดังนั้น ก่อนจะถือหุ้นตลอดไป เราควรแน่ใจก่อนว่า… นี่คือธุรกิจที่ดีจริง ๆ