BOND YIELD คืออะไร ?
Bond Yield คืออะไร ?
Bond Yield หรือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร คือ Bond Yield คือผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจากการลงทุนในตราสารหนี้.
เมื่อตราสารหนี้ถูกออกครั้งแรก ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับมักจะเท่ากับอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ผู้ออกสัญญาว่าจะจ่าย.
นักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยจากตราสารหนี้ตลอดอายุของสินทรัพย์ และได้รับมูลค่าหน้าตั๋วคืนเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน.
ความสัมพันธ์แบบผกผันกับราคาพันธบัตร
หนึ่งในหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของตลาดตราสารหนี้คือความสัมพันธ์ผกผันระหว่างราคาตราสารหนี้และ Yield.
นั่นหมายความว่าเมื่อราคาตราสารหนี้สูงขึ้น Yield จะลดลง และในทางกลับกัน เมื่อ Yield สูงขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง.
ความสัมพันธ์นี้สามารถเปรียบได้กับไม้กระดกที่ด้านหนึ่งขึ้น อีกด้านหนึ่งจะลง.
เมื่ออัตราดอกเบี้ยตลาดสูงขึ้น: หากอัตราดอกเบี้ยทั่วไปสำหรับสินทรัพย์ที่คล้ายกันในตลาดเพิ่มขึ้น
ตราสารหนี้เดิมที่ยังคงจ่ายดอกเบี้ยในอัตราหน้าตั๋วที่ต่ำกว่าจะมีความน่าสนใจน้อยลงสำหรับนักลงทุนรายใหม่.
เพื่อให้ตราสารหนี้เดิมยังคงสามารถแข่งขันได้และขายออกไปได้ ราคาของมันในตลาดจึงต้องลดลง.
การลดราคาลงนี้ทำให้การจ่ายดอกเบี้ยคงที่ต่อปีคิดเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นของราคาใหม่ที่ต่ำลง ซึ่งเป็นการเพิ่ม Yield ให้กับผู้ซื้อรายใหม่ให้สอดคล้องกับอัตราตลาดที่สูงขึ้น.
เมื่ออัตราดอกเบี้ยตลาดลดลง: ในทางตรงกันข้าม หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลงต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วของตราสารหนี้เดิม ตราสารหนี้เดิมจะมีความน่าสนใจมากขึ้น.
นักลงทุนจะยินดีจ่ายในราคาที่สูงขึ้นสำหรับตราสารหนี้นี้ เนื่องจากมันเสนอผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้ที่ออกใหม่.
เมื่อราคาของตราสารหนี้เดิมสูงขึ้น การจ่ายดอกเบี้ยคงที่ต่อปีจะคิดเป็นสัดส่วนที่เล็กลงของราคาใหม่ที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นการลด Yield สำหรับผู้ซื้อรายใหม่.
องค์ประกอบของ Bond Yield
อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate)
คืออัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ระบุไว้บนหน้าพันธบัตร ซึ่งจะจ่ายให้กับผู้ถือตามงวดที่กำหนด (เช่น ทุกปี ทุกครึ่งปี)
ผลตอบแทนที่เกิดจากส่วนต่างราคา (Capital Gain/Loss)
หากคุณซื้อพันธบัตรในราคาที่ต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว และถือจนครบกำหนดไถ่ถอน คุณจะได้รับผลตอบแทนส่วนต่างนี้
หรือหากคุณขายพันธบัตรก่อนครบกำหนดในราคาที่สูงกว่าราคาที่คุณซื้อมา ก็จะถือเป็น Capital Gain เช่นกัน ในทางกลับกัน หากขายในราคาที่ต่ำกว่า ก็จะเป็น Capital Loss
ประเภทของ Bond Yield ที่สำคัญ
Nominal Yield (อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว)
Nominal Yield คืออัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ระบุไว้บนตราสารหนี้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Coupon Rate.
นี่เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการคำนวณผลตอบแทน โดยการหารการจ่ายดอกเบี้ย (Coupon Payment) ด้วยมูลค่าหน้าตั๋วของตราสารหนี้.
Current Yield (ผลตอบแทนปัจจุบัน)
Current Yield คือรายได้ประจำปีที่ผู้ถือตราสารหนี้ได้รับเมื่อเทียบกับราคาตลาดปัจจุบันของตราสารหนี้.
สูตรคำนวณคือ Current Yield = การจ่ายดอกเบี้ยต่อปี (Annual Coupon Payment) ÷ ราคาตลาดของตราสารหนี้ (Bond Price).
ผลตอบแทนประเภทนี้มีประโยชน์ในการประเมินศักยภาพในการสร้างรายได้ระยะสั้น. อย่างไรก็ตาม Current Yield และ Nominal Yield เป็นการคำนวณที่ไม่สมบูรณ์สำหรับผลตอบแทนที่แท้จริงของตราสารหนี้
Yield to Maturity (YTM): ผลตอบแทนจนครบกำหนดไถ่ถอน
YTM คืออัตราผลตอบแทนรวมที่คาดว่าจะได้รับจากตราสารหนี้ หากนักลงทุนถือครองตราสารหนี้นั้นจนครบกำหนดไถ่ถอน.
ในทางคณิตศาสตร์ YTM คืออัตราคิดลดที่ทำให้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตทั้งหมด (ซึ่งรวมถึงทั้งการจ่ายดอกเบี้ยตลอดอายุตราสารและมูลค่าหน้าตั๋วที่จะได้รับคืนเมื่อครบกำหนด) เท่ากับราคาตลาดปัจจุบันของตราสารหนี้
ส่วนประกอบและการคำนวณ YTM: การคำนวณ YTM จะพิจารณาองค์ประกอบสำคัญหลายประการ:
C (Annual coupon payment): การจ่ายดอกเบี้ยประจำปีที่นักลงทุนได้รับจากตราสารหนี้.
FV (Face value of the bond): มูลค่าหน้าตั๋วของตราสารหนี้ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่นักลงทุนจะได้รับคืนเมื่อครบกำหนดไถ่ถอน.
PV (Present value or current market price of the bond): ราคาที่ตราสารหนี้มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน ซึ่งอาจซื้อขายที่ราคาพาร์ ส่วนเพิ่ม หรือส่วนลด.
n (Number of years remaining until the bond matures): จำนวนปีที่เหลือจนกว่าตราสารหนี้จะครบกำหนดไถ่ถอน.
สูตรที่ใช้บ่อย: YTM = [C + (FV − PV) / n] ÷ [(FV + PV) / 2]
ปัจจัยที่มีผลต่อ Bond Yield
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย: ธนาคารกลางจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งมีผลโดยตรงต่อ Bond Yield โดยทั่วไป เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้น Bond Yield ก็มักจะสูงขึ้นด้วย
ภาวะเศรษฐกิจ: ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว ความต้องการเงินทุนจะสูงขึ้น ทำให้ Bond Yield มีแนวโน้มสูงขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัว Bond Yield มักจะลดลง
อัตราเงินเฟ้อ: นักลงทุนจะต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ทำให้มูลค่าของเงินลดลง ดังนั้น หากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น Bond Yield ก็มักจะสูงขึ้น
ความเสี่ยงของผู้ออกพันธบัตร (Credit Risk): พันธบัตรที่ออกโดยบริษัทหรือรัฐบาลที่มีความเสี่ยงสูงในการผิดนัดชำระหนี้ มักจะมี Bond Yield ที่สูงกว่าเพื่อดึงดูดนักลงทุน
ระยะเวลาคงเหลือของพันธบัตร (Time to Maturity): โดยทั่วไป พันธบัตรที่มีระยะเวลาครบกำหนดนานกว่า จะมี Bond Yield ที่สูงกว่าพันธบัตรที่มีระยะเวลาสั้นกว่า เนื่องจากนักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความไม่แน่นอนในระยะยาว
ความสำคัญของ Bond Yield สำหรับนักลงทุน
การเปรียบเทียบผลตอบแทน: นักลงทุนใช้ Bond Yield เพื่อเปรียบเทียบความน่าสนใจของพันธบัตรต่างๆ ที่มีระดับความเสี่ยงและระยะเวลาครบกำหนดที่แตกต่างกัน
การประเมินความเสี่ยง: Bond Yield สามารถสะท้อนถึงความเสี่ยงของผู้ออกพันธบัตรได้ พันธบัตรที่มี Yield สูงมักจะมีความเสี่ยงสูงกว่า
การคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ย: การเปลี่ยนแปลงของ Bond Yield ในตลาดสามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตได้
การใช้ Bond Yield เพื่อการลงทุน
ความรู้เกี่ยวกับ Bond Yield ช่วยให้นักลงทุนสามารถก้าวข้ามการถือครองตราสารหนี้แบบเฉยๆ ไปสู่การบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอตราสารหนี้เชิงรุกได้อย่างแท้จริง มันไม่ได้เป็นเพียงการซื้อตราสารหนี้และรอจนครบกำหนด แต่เป็นการประเมินอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบ และปรับเปลี่ยนตามสภาวะตลาด เป้าหมายส่วนบุคคล และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ การทำความเข้าใจ Bond Yield อย่างถ่องแท้จึงเป็นทักษะที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตโฟลิโอที่ยืดหยุ่นและสอดคล้องกับเป้าหมายได้