ถ้าพูดถึงบริษัทที่เปลี่ยนโฉมหน้าการค้าปลีกของโลก ชื่อหนึ่งที่ทุกคนต้องนึกถึงก็คือ Walmart (WMT)
จากร้านโชห่วยเล็ก ๆ ในอาร์คันซอ สหรัฐอเมริกา → วันนี้กลายเป็นบริษัทค้าปลีกที่มีรายได้สูงที่สุดในโลก
และยังเป็น หุ้น Defensive ที่ยืนหยัดจ่ายปันผลต่อเนื่องมามากกว่า 50 ปี

 

1️⃣ จุดเริ่มต้น: จากร้านเล็ก ๆ สู่อาณาจักรค้าปลีก

Walmart ก่อตั้งขึ้นในปี 1962 โดย Sam Walton ผู้มีความเชื่อว่า “ราคาที่ถูกทุกวัน” (Everyday Low Price – EDLP) จะสามารถดึงดูดลูกค้าและสร้างความภักดีได้

1970s: Walmart ขึ้นตลาดหุ้น (NYSE: WMT) → ระดมทุนขยายสาขาอย่างรวดเร็ว
1990s: Walmart แซง Kmart และ Sears ขึ้นเป็นค้าปลีกเบอร์หนึ่งของสหรัฐฯ
2000s: เริ่มขยายต่างประเทศ ทั้งเม็กซิโก แคนาดา บราซิล จีน
ปัจจุบัน: มีสาขามากกว่า 10,500 แห่งใน 19 ประเทศ และมี Online Marketplace แข่งกับ Amazon

      Walmart ยังถือเป็น “ตำนานธุรกิจ” ที่สร้างจากแนวคิด Everyday Low Price (EDLP) – ของถูกทุกวัน ไม่ต้องรอโปรโมชั่น
 

2️⃣ โมเดลธุรกิจ & แหล่งรายได้ของ Walmart

Walmart มีรายได้รวมกว่า $648,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี (ใหญ่ที่สุดใน Fortune 500 ปี 2025) โดยแบ่งธุรกิจออกเป็น 4 เสาหลักสำคัญ

🏬 Walmart U.S. (~65% ของรายได้รวม)

รายได้หลักจาก ของชำ (Grocery) มากกว่า 50%

ของใช้ในบ้าน เสื้อผ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า

จุดแข็งคือ ราคาถูก + ทำเลดี + สินค้าหลากหลาย

🏷️ Sam’s Club (~15%)

คล้าย Costco | โมเดลสมาชิก (Membership Model)

ลูกค้าได้ราคาต้นทุนต่ำ ซื้อยกแพ็ค

มีทั้ง B2C และ SME ที่เข้ามาซื้อสินค้าเพื่อลดต้นทุน

🌍 Walmart International (~20%)

ธุรกิจในเม็กซิโก (Walmex), แคนาดา, ชิลี, แอฟริกา และจีน

ตลาดเม็กซิโกคือเสาหลัก และ Walmex เองก็เป็นบริษัทจดทะเบียนแยก

💻 E-commerce & Omni-channel

รายได้โตเฉลี่ยปีละ 20%

Walmart+ (แข่ง Amazon Prime) → Pickup & Delivery

Walmart Connect | รายได้จากโฆษณาออนไลน์ (มาร์จิ้นสูงกว่าสินค้าขายตรง)

 

📌 จุดแข็งของ Walmart

1. Economies of Scale | กำลังซื้อระดับโลก

Walmart เป็น “ผู้ซื้อสินค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก” ทุกปีมีการจัดซื้อสินค้านับพันล้านดอลลาร์ ทำให้สามารถ ต่อรองราคากับ Supplier ได้ต่ำกว่าคู่แข่ง และส่งต่อราคาถูกไปถึงผู้บริโภค โมเดลนี้สร้าง Barrier to Entry ที่แข็งแรง เพราะไม่มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาสู้ได้ในระดับต้นทุน

ตัวอย่าง: ผู้ผลิตสินค้า FMCG ต้องการขายให้ Walmart เพราะ Volume ใหญ่กว่าร้านอื่น ๆ หลายเท่า

2. เครือข่ายร้านค้าครอบคลุมที่สุดในโลก
Walmart มีสาขามากกว่า 10,500 แห่งใน 19 ประเทศ

ในสหรัฐฯ | แค่ 90% ของประชากรอยู่ห่างจาก Walmart ไม่เกิน 10 ไมล์

ต่างประเทศ → Walmart Mexico (Walmex) เป็นผู้นำค้าปลีกในละตินอเมริกา

Walmart กลายเป็น “Super Distribution Hub” ที่ครอบคลุม Supply Chain และเข้าถึงลูกค้าได้ใกล้ชิดที่สุด

3. ธุรกิจ Defensive | ความต้องการคงที่

รายได้ Walmart กว่า 50% มาจาก Grocery ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็น | แม้เศรษฐกิจถดถอย ผู้คนก็ยังต้องซื้ออาหาร ของใช้ประจำวัน
นั่นทำให้ Walmart เป็น หุ้น Defensive ที่ Performance ไม่ผันผวนตามเศรษฐกิจมาก

ในช่วงวิกฤติ COVID-19 Walmart เป็นหนึ่งในบริษัทที่ยอดขายยังเติบโต เพราะผู้บริโภคเข้ามาซื้อสินค้าจำเป็น

4. Omni-channel แข็งแกร่ง → ออนไลน์ + ออฟไลน์

แทนที่จะมุ่งไปออนไลน์อย่างเดียว Walmart เลือกใช้กลยุทธ์ Omni-channel:

ลูกค้าสั่งออนไลน์ | มารับที่สาขา (Pickup)

สั่งแล้วให้ส่งถึงบ้าน (Delivery)

ใช้ Walmart App  [ รวมระบบชำระเงิน + Loyalty ]

ผลลัพธ์คือ Walmart ใช้ “เครือข่ายหน้าร้าน” ที่มีอยู่แล้วมาเป็นจุดแข็งเสริมการขายออนไลน์ แข่งกับ Amazon ได้

5. แบรนด์ทรงพลัง

Walmart เป็นหนึ่งใน Top 10 Global Brands (Brand Value > $90B)

จับคู่กับคำว่า “ของถูก” (Low Price Leader)

ภาพลักษณ์ = “ร้านที่คนอเมริกันทุกคนเข้าถึงได้”

นี่คือจุดแข็งเชิงวัฒนธรรมที่ Amazon หรือคู่แข่งรายใหม่ยากจะแย่งไปได้

 

📌 ความท้าทาย & ความเสี่ยง

1. การแข่งขันกับ Amazon

Amazon ครองตลาด E-commerce & Subscription

Amazon Prime มีสมาชิก >200M คน → ใช้ Ecosystem ดึงลูกค้าให้อยู่กับแพลตฟอร์ม

Walmart แม้พัฒนา Walmart+ แต่ยังตามหลังทั้งในสหรัฐฯ และระดับโลก

2. Margin ต่ำ

Operating Margin ของ Walmart ~4%

เทียบกับบริษัท Tech เช่น Apple ~30% หรือ Healthcare ~20%

แปลว่า Walmart ต้องขาย Volume มหาศาล เพื่อรักษากำไร

ความเสี่ยง: แค่ต้นทุนด้านแรงงาน/ซัพพลายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย → กำไรหดลงทันที

3. ต้นทุนแรงงานสูง

Walmart มีพนักงานกว่า 2.1 ล้านคน

แค่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ หรือสวัสดิการด้านสุขภาพ → มีผลต่อ Cost Structure อย่างมหาศาล

นอกจากนี้ Walmart ยังเผชิญแรงกดดันทางสังคมเรื่อง “ค่าแรงต่ำ & การใช้แรงงานหนัก”

4. Global Supply Chain

Walmart พึ่งพาการนำเข้าจากจีนและเอเชียเป็นหลัก

ปัญหา โลจิสติกส์ + Currency Fluctuation สามารถกระทบ Gross Margin

เช่น เหตุการณ์ตู้คอนเทนเนอร์แพงช่วง COVID ทำให้ต้นทุน Walmart เพิ่มขึ้นทันที

 

📌 กลยุทธ์อนาคตของ Walmart

1. E-commerce & Walmart+

ขยาย Walmart+ แข่งกับ Amazon Prime

เสริมด้วยบริการ Same-day Pickup/Delivery

ใช้ข้อมูลลูกค้า (Data Analytics) → สร้าง Cross-Selling

2. Retail Media (Walmart Connect)

สร้างรายได้ใหม่จาก โฆษณาออนไลน์

โมเดลคล้าย Amazon Ads → Supplier จ่ายเงินเพื่อโฆษณาบน Walmart Platform

มาร์จิ้นสูงกว่าการขายสินค้าโดยตรง → ทำให้ Walmart มี Business Mix ที่ดีขึ้น

3. AI & Automation

ใช้ AI จัดการ Inventory & Dynamic Pricing

ใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในคลังสินค้า → ลดต้นทุนแรงงาน

Walmart Labs → ทีม R&D เทคโนโลยีภายใน

4. Sustainability & ESG

Walmart ตั้งเป้า Net Zero ภายในปี 2040

ลงทุนโซลาร์ฟาร์ม + รถบรรทุกพลังงานสะอาด

ESG Strategy → ช่วยลดแรงกดดันจากนักลงทุนสถาบัน

5. Healthcare & Fintech

Walmart Health → คลินิกสุขภาพราคาถูก (Dental, Vision, Primary Care)

บริการทางการเงิน → Walmart Pay, Partnership กับ Fintech → รุกตลาด unbanked

 

บทเรียนจาก Walmart

Walmart ไม่ใช่แค่ร้านขายของราคาถูก แต่คือ กรณีศึกษาโมเดลธุรกิจที่ยืนหนึ่งด้วยวินัยและการปรับตัว

เริ่มจากร้านโชห่วยเล็ก ๆ → วันนี้เป็นบริษัทอันดับ 1 Fortune 500

แม้กำไรต่อหน่วยบาง แต่ใช้ Volume & Scale มาสร้างความแข็งแกร่ง

ปรับตัวสู่ Omni-channel, E-commerce, Healthcare, Fintech เพื่อต่อสู้กับ Amazon

สำหรับนักลงทุน Walmart คือหุ้นที่…

มั่นคง (Defensive) → คนยังต้องซื้อของกินของใช้เสมอ

ปันผลต่อเนื่อง (Dividend Aristocrat) → มากกว่า 50 ปี

เสริมเสถียรภาพพอร์ต → เหมาะกับการถือยาว

Walmart พิสูจน์แล้วว่า “ธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ได้มาจากการวิ่งเร็วที่สุด แต่มาจากการวิ่งได้ไกลที่สุด”

 

Disclaimer:
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่นักลงทุนเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน
นักลงทุนควรศึกษาลักษณะสินค้าและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด
ก่อนตัดสินใจ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดพิจารณาให้รอบคอบ
==================================

🌎 🗽 ขยายโอกาสการลงทุนในบริษัทศักยภาพทั่วโลกไปกับ Liberator เพียงมีบัญชีหุ้นสหรัฐอเมริกากับค่าคอมสุดคุ้ม และ สิทธิประโยชน์มากมาย กิจกรรมคอมมูนิตี้หลากหลาย เข้าใช้งานคลังความรู้ออนไลน์ เปิดบัญชีง่ายๆ
 
💡 รู้หรือไม่ : ไม่เพียงแต่หุ้นสหรัฐอเมริกาแต่เพื่อนๆยังสามารถลงทุนในบริษัทจากประเทศอื่นๆที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ รวมแล้วกว่า 8,000 ตัว ได้เช่นกัน

เปิดบัญชีหุ้นสหรัฐอเมริกากับ Liberator 🇺🇸

✅
 หากมีบัญชีกับ Liberator แล้ว
1) Login เข้าแอป
2) เลือกเมนู "You" ➡️ เลือก "Open Account US Stock" ทำตามขั้นตอนง่ายๆเพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้น
.
✅ ไม่เคยมีบัญชีกับ Liberator มาก่อน
2) สมัครเปิดบัญชี
3) มีบัญชีแล้ว ➡️ Login เข้าแอป ➡️ เลือกเมนู "You" ➡️ เลือก "Open Account US Stock" ทำตามขั้นตอนง่ายๆเพียง 3 ขั้นตอนเท่านั้น
.
อ่านคู่มือ :