เจาะลึกทุกประเด็นกับบริษัท ไทยฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TFG 
ผู้ผลิตอาหารครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ธุรกิจหลักแบ่งเป็น ธุรกิจไก่ ธุรกิจสุกร ธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกิจร้านค้าปลีก
นอกเหนือจากนี้ยังมีธุรกิจสนับสนุนอื่นๆ เช่น โรงงานซอส และเครื่องดื่ม โรงงานกระสอบ ห้องปฏิบัติการ พลังงานทดแทน การลงทุน และสินเชื่อ



[1] ธุรกิจไก่

อุปทานไก่ในไทยไม่ได้เพิ่มขึ้นมาก แต่ความต้องการบริโภคต่อคนเพิ่มขึ้น และการส่งออกเติบโตดีมาก ขณะที่อุปทานตลาดโลกนั้นปริมาณไก่โดยรวมไม่ได้เพิ่มขึ้นเช่นกันเนื่องจากสงครามในยูเครน

การส่งออกไก่ของไทยเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนการมีศักยภาพการแข่งขันในระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อคู่แข่งอย่างบราซิลมีปัญหาด้านความปลอดภัยอาหาร และมาตรฐานการผลิต ประกอบกับปัญหาไข้หวัดนกในต่างประเทศ โดยเฉพาะบราซิล (H5N1 ที่พบครั้งนี้เกิดในฟาร์มเชิงพาณิชย์ ซึ่งถือว่าอันตราย) และการแบนทั้งประเทศ ทำให้ลูกค้าในยุโรปกังวล และต้องการสต็อกเพิ่ม ส่งผลให้ราคาเนื้อไก่ที่จะส่งออกไปยุโรปเพิ่มขึ้น 10-15% สำหรับคำสั่งซื้อไตรมาส 3 แนวโน้มราคาไก่ไทยในครึ่งปีหลังคาดว่าจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรกจากการส่งออกเพิ่มขึ้น

TFG ไม่ได้เน้นเพิ่มปริมาณผลิตไก่มากนัก แต่จะเน้นไปที่การส่งออกมากขึ้น เป้าหมายการส่งออกไก่ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 100% (จาก 15,000 ตันเป็น 27,000-28,000 ตันในยุโรป) และเติบโต 40-50% ไปจีน (จาก 10,000-15,000 ตันเป็น 20,000 ตัน) การส่งออกเนื้อไก่ดิบโดยรวมปีนี้น่าจะทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 75,000 ตัน


[2] ธุรกิจสุกร

TFG ดำเนินธุรกิจสุกรทั้งในประเทศไทยและเวียดนาม จำหน่ายทั้งสุกรมีชีวิตและชิ้นส่วน

ประเทศไทย
ราคาหมูฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาด ราคาที่ขึ้นมาส่วนหนึ่งมาจากการบริหารจัดการราคาให้ยืนยาวที่สุด ซึ่งดีต่อทุกฝ่าย (ผู้บริโภค ผู้ผลิต ผู้ค้า) อุปทานหมูในประเทศลดลงพอสมควรในช่วง
2-3 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากปัญหาหมูเถื่อน วัตถุดิบแพง สภาพแวดล้อม และโรค การสร้างฟาร์มใหม่ยากขึ้นมาก และผู้ประกอบการที่ไม่มีช่องทางจัดจำหน่ายเสียเปรียบ แนวโน้มราคาหมูไทยคาดว่าจะยืนยาวไปจนถึงประมาณครึ่งปีหลัง

ประเทศเวียดนาม 
TFG เป็นผู้เล่นรายใหญ่ (อันดับ 3 ด้านกำลังการผลิต) ตลาดเวียดนามมีผู้เล่นรายย่อย (มากกว่า 60%) และโรงเชือดไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ปัญหาโรค ASF ไม่จบสิ้น รัฐบาลเวียดนามปิดฟาร์มไปจำนวนมาก และยังไม่มีการออกใบอนุญาตใหม่ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ซึ่งจำกัดการเพิ่มกำลังการผลิต สภาพแวดล้อมมีโรคสูง ทำให้รายย่อย และรายกลางอยู่ยาก ราคาหมูเวียดนามอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง คาดว่าอาจมีแนวโน้มย่อลงเล็กน้อยในไตรมาส 3-4 หากมีการระบาดเพิ่มขึ้น ในส่วนของ TFG คาดปริมาณขายหมูในเวียดนามจะเติบโตขึ้นอย่างน้อย 40-50% ในปีนี้ และมีแผนเริ่มดำเนินธุรกิจไก่และอาหารสัตว์ในเวียดนามในช่วงปีนี้ถึงปีหน้า


[3] ธุรกิจร้านค้าปลีก (Thai Food Fresh Market)

TFG เข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกในปี 2563 ปัจจุบันรายได้คิดเป็น 40% ของยอดขาย สาขา 430 สาขา มีลูกค้าใช้บริการ 3-4 แสนคนต่อวัน และมีสมาชิกราว 1.2-1.3 ล้านคน และมีสาขา 430 สาขา ตั้งเป้าสิ้นปีนี้ที่ 600 สาขา และสิ้นปีหน้า 750 สาขา ตั้งเป้ารายได้ 30,000 ล้านบาทในปีนี้ การเติบโตของร้านค้าปลีกมาจาก 3 ส่วนหลัก คือ การขยายสาขา, การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same-store sales growth) ที่เติบโตต่อเนื่อง 15-20% และรายได้อื่นๆ (เช่น ค่าเช่าพื้นที่ ค่าโฆษณา) ที่คาดว่าจะมี 200-300 ล้านบาทในปีนี้

ธุรกิจค้าปลีกเปลี่ยน TFG จากบริษัทที่เน้นการผลิตเป็นบริษัทที่เน้นตลาด การมีช่องทางจำหน่ายช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองกับลูกค้า ไม่ต้องลดราคามากเมื่อมีสินค้าเหลือทำให้ได้ Margin ส่วนเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ขายผ่านตัวกลาง รวมถึงการลดลูกหนี้การค้าลง และปรับปรุงกระแสเงินสดของบริษัทให้ดีขึ้น โดยการขยายสาขาจะใช้ระบบ IT ในการเลือกทำเล และบริหารจัดการ รวมถึงช่วยลดต้นทุนการขนส่ง

โครงการในอนาคต กำลังศึกษาและเริ่มกระบวนการ Spin-off ธุรกิจค้าปลีก คาดว่าจะเห็นความคืบหน้าใน 3-5 ปีข้างหน้า


[4] แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2025

คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 2 จะดีกว่าไตรมาส 1 ทั้งในแง่ราคาหมู และราคาไก่ที่เป็นแนวโน้มบวก และต้นทุนอาหารสัตว์ที่คาดว่าจะลดลง โดยต้นทุนอาหารสัตว์คิดเป็นประมาณ 70% ของต้นทุนการผลิตเนื้อสัตว์โดยใช้ข้าวโพดประมาณ 50% และกากถั่วเหลือง 20-30% ของสูตร หากต้นทุนอาหารสัตว์ลดลง 10% จะส่งผลให้ต้นทุนเนื้อสัตว์ลดลงมากกว่า 10% โดยคาดว่าต้นทุนยังคงลดลงต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะกากถั่วเหลืองที่ราคาจะต่ำกว่าครึ่งปีแรก และ TFG ได้ล็อกราคาวัตถุดิบบางส่วนไปถึงครึ่งปีหลังแล้ว


[5] การจ่ายเงินปันผล ปีนี้มีลุ้นดีกว่าคาด

บริษัทมีการจ่ายปันผลระหว่างกาลในไตรมาส 1 เนื่องจากการมีเงินสดมาก ปกติจะปันผลปีละ 2 ครั้ง หากโมเมนตัมยังดีอยู่ก็อาจพิจารณาปันผลในไตรมาสถัดไป


[6] การวาง margin ของผู้บริหาร ที่เป็นกังวลของตลาด

ประเด็นการวาง Margin ของผู้บริหารได้เริ่มลดลงจาก 40% เหลือ 30% ณ เดือน เม.ย. โดยผู้บริหารมีแผนจะลดลงอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเห็นการลดลงในไตรมาสถัดไปอีก


[7] มุมมองนักวิเคราะห์ Liberator

เรายังมีมุมมอง “บวก” ต่อการดำเนินงานช่วงที่เหลือของปีว่ายังดีได้จากราคาเนื้อสัตว์ยังทรงตัวระดับสูง ประกอบกับการเกิดโรคระบาดในประเทศคู่แข่งทำใหแม้้มีความได้เปรียบในการส่งออก  อีกทั้งร้านค้าปลีกเป็นอีกธุรกิจที่เป็นปัจจัยสนับสนุนต่อผลการดำเนินงานอีกทาง

โดย Bloomberg consensus ให้ราคาเหมาะสมเฉลี่ย 6.24 บาท/ หุ้น ปัจจุบันซื้อขายที่เพียง P/E25E 6.2 เท่า (ณ 28 พ.ค. 2025) ส่วนนักวิเคราะห์เทคนิกมองว่าหากไม่หลุด 5.00 บาท เก็งกำไรได้

อย่างไรก็ดีหุ้นขึ้นมาไกลแล้ว ตอนนี้จึงเป็นเรื่องของการเก็งกำไร โดยหากงบ 2Q หรือ 3Q หากออกมาสูงกว่าคาด จึงจะเริ่มเห็นการ upgrade ของนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอีกครั้งหลังหุ้นขึ้นมาถึง 69% ใน 3 เดือน

อ่านมาถึงตรงนี้ หากเพื่อนๆอยากจะจับประเด็นแบบลงดีเทลตัวเลขเพิ่มเติม
รวมถึงฟังบรรยากาศและความมั่นใจของผู้บริหาร TFG เอง
แอดมินชวนให้เปิดรับชม Live การสัมภาษณ์พูดคุยกันสดๆ ได้เลย คลิกที่นี่ 



 เพื่อนๆสามารถรับชม LIB Insight สัมภาษณ์ผู้บริหาร อีกหลากหลายบริษัท 
ในแบบเจาะลึกกับทีมนักวิเคราะห์ Liberator ได้เพิ่มเติม โดยคลิกที่รูปด้านล่างนี้ได้เลย