LIB Investment Info
เจาะลึก ROE : อัตราส่วนทางการเงินที่นักลงทุนต้องรู้
ROE อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญที่ใช้วัดว่าบริษัทสามารถนำเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นไปสร้างกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน
อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น( Return on Equity :ROE)
เป็นอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญที่ใช้วัดว่าบริษัทสามารถนำเงินลงทุนของผู้ถือหุ้นไปสร้างกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน ROE ที่สูงและสม่ำเสมอสะท้อนถึงคุณภาพของผู้บริหารและศักยภาพของธุรกิจในการเติบโตในระยะยาว
ทำความเข้าใจ ROE: การคำนวณและวิเคราะห์
ROE(%) = (กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น )×100
โดยทั่วไปแล้ว ROE ที่ดีควรจะอยู่ที่ 15% ขึ้นไป แต่สิ่งสำคัญกว่าคือการ ดูแนวโน้มย้อนหลังหลายปี และ เปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อให้เห็นภาพที่แท้จริงของความสามารถในการทำกำไร
กับดัก ROE ที่นักลงทุนต้องระวัง
แม้ ROE ที่สูงจะดูดี แต่นักลงทุนมือใหม่มักจะตกหลุมพรางเหล่านี้:
1. ROE สูงจากกำไรพิเศษ บางครั้ง ROE ที่สูงมากอาจไม่ได้มาจากธุรกิจหลัก แต่เกิดจากกำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เช่น การขายสินทรัพย์ ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่ยั่งยืน
ตัวอย่าง: บริษัท A ที่ปกติมี ROE 10% ปีนี้ขายที่ดินที่ไม่ได้ใช้แล้วได้กำไร 100 ล้านบาท ทำให้ ROE พุ่งขึ้นเป็น 30% นักลงทุนที่เห็นตัวเลขนี้เพียงอย่างเดียวอาจเข้าใจผิดว่าธุรกิจหลักกำลังไปได้สวย ทั้งที่จริงกำไรพิเศษนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกในปีถัดไป
2. ROE สูงจากหนี้สินที่มากเกินไป บริษัทสามารถทำให้ ROE สูงขึ้นได้ด้วยการก่อหนี้สินจำนวนมาก แต่การมีหนี้สินมากเกินไปเป็นความเสี่ยงทางการเงินที่สูงเช่นกัน
ตัวอย่าง: ลองดูบริษัท B และ C ที่มีสินทรัพย์ 100 ล้านบาทและกำไร 20 ล้านบาทเท่ากัน
• บริษัท B ใช้เงินทุนจากส่วนของผู้ถือหุ้น 50 ล้านบาทและหนี้สิน 50 ล้านบาท ทำให้ ROE สูงถึง 40%
• บริษัท C ใช้เงินทุนจากส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด 100 ล้านบาทและไม่มีหนี้สิน ทำให้ ROE อยู่ที่ 20%
แม้บริษัท B จะมี ROE สูงกว่า แต่ระดับหนี้สินที่สูงนั้นมีความเสี่ยง หากธุรกิจไม่เป็นไปตามคาด บริษัทอาจมีปัญหาในการชำระหนี้ได้
3. ไม่เปรียบเทียบกับอุตสาหกรรม: ROE ที่ดีในอุตสาหกรรมหนึ่งอาจไม่ดีในอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง นักลงทุนควรเปรียบเทียบ ROE ของบริษัทกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำที่สุด
4. ไม่ดูแนวโน้มย้อนหลัง: ROE ที่สูงเพียงปีเดียวอาจไม่เพียงพอ คุณควรดู ROE ย้อนหลังอย่างน้อย 3-5 ปีเพื่อดูความสม่ำเสมอและความมั่นคงในการทำกำไรของบริษัท
________________________________________
สรุป
ROE เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ควรนำมาใช้เพียงลำพัง เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักที่กล่าวมา คุณควรพิจารณา ความสม่ำเสมอของ ROE ในระยะยาว, เปรียบเทียบกับบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน และ ตรวจสอบระดับหนี้สินของบริษัท ควบคู่กันไปเสมอ การวิเคราะห์แบบองค์รวมจะช่วยให้คุณใช้ ROE เป็นเครื่องมือที่มีค่าในการค้นหาหุ้นคุณภาพดีและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนได้
===================
FINCODE
ซีรีส์ที่จะมาปลดล็อก CODE ลับทางการเงิน
ทั้งเรื่อง การลงทุน และ เรื่องฟินๆ ในโลกการเงิน
ที่ถ้าคุณรู้และใช้ได้จริง วิธีทางการเงินจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
และนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น…
เพราะยังมี FINCODE อีกหลายโค้ดลับ
ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีใช้ “CODEการเงิน” เพื่อให้ชีวิตฟินขึ้น
===================
บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลก-0151-01 และการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ใบอนุญาตเลขที่ ส1-0151-01