วันนี้เราจะมาเจาะลึกงบการเงินตัวแรกที่ ที่นักลงทุนทุกคนต้องรู้จัก นั่นก็คือ "งบดุล" หรือที่เรียกเป็นทางการว่า "งบแสดงฐานะการเงิน"

งบดุลก็เหมือน "ภาพถ่าย" ที่บอกสถานะการเงินของบริษัท ณ วันใดวันหนึ่ง เช่น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทมีอะไรอยู่บ้าง และมีหนี้สินเท่าไหร่ ไม่ใช่บอกว่าตลอดทั้งปีบริษัททำอะไรไปบ้างนะ แต่เป็นสถานะปัจจุบันตอนที่ถ่ายรูปเลยครับ

ทำไมงบดุลถึงสำคัญกับนักลงทุน
 
ถ้าเพื่อน ๆ อยากรู้ว่าบริษัทที่เรากำลังจะไปลงทุนด้วยนั้น "มีฐานะดีจริงไหม" หรือ "มีหนี้ท่วมหัวรึเปล่า" งบดุลนี่แหละคือคำตอบ เพราะมันช่วยให้เราประเมินความมั่นคงและแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทได้
 
แกะรอย 3 ส่วนสำคัญในงบดุล
 
งบดุลจะประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ ที่มีความสัมพันธ์กันแบบเป๊ะๆ ตามสมการนี้ครับ
สินทรัพย์ = หนี้สิน + ส่วนของผู้ถือหุ้น
มาดูกันว่าแต่ละส่วนบอกอะไรเราบ้าง:
 
1. สินทรัพย์ (Assets): "บริษัทมีอะไรบ้าง?"
 
สินทรัพย์คือ "สิ่งที่บริษัทมีอยู่ และก่อให้เกิดประโยชน์ในอนาคต" ครับ คิดง่ายๆ ก็เหมือนทรัพย์สินส่วนตัวของเรานั่นแหละ
 
สินทรัพย์หมุนเวียน (Current Assets):
คือสินทรัพย์ที่ เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็ว หรือจะใช้หมดไปภายใน 1 ปี
 
- เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด: เงินที่อยู่ในมือหรือบัญชีธนาคารของบริษัท
- ลูกหนี้การค้า: เงินที่ลูกค้ายังไม่ได้จ่ายค่าสินค้า/บริการให้บริษัท
- สินค้าคงเหลือ: สินค้าที่บริษัทซื้อมาหรือผลิตไว้รอขาย
 
สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน (Non-Current Assets):
คือสินทรัพย์ที่ ใช้ประโยชน์ระยะยาว ไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนเป็นเงินสดในเร็วๆ นี้
 
- ที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ (PPE): โรงงาน ออฟฟิศ เครื่องจักร รถยนต์ ที่ใช้ในการดำเนินงาน
- เงินลงทุนระยะยาว: เงินที่บริษัทเอาไปลงทุนในหุ้นบริษัทอื่น หรือกองทุนต่างๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจขายเร็วๆ นี้
- สินทรัพย์ไม่มีตัวตน: สิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่มีมูลค่า เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ หรือค่าความนิยม (Goodwill)
 
นักลงทุนควรมองหา:
บริษัทที่มีสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ เช่น ลูกหนี้เก็บเงินได้จริง สินค้าคงเหลือไม่ค้างเก่า หรือมีที่ดินโรงงานที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ
 
2. หนี้สิน (Liabilities): "บริษัทเป็นหนี้ใครบ้าง?"
 
หนี้สินคือ "ภาระที่บริษัทต้องชำระคืนในอนาคต" คือเงินที่บริษัทกู้ยืมมา หรือติดค้างใครอยู่
หนี้สินหมุนเวียน (Current Liabilities): หนี้ที่ ต้องจ่ายคืนภายใน 1 ปี ครับ
 
- เจ้าหนี้การค้า: เงินที่บริษัทยังไม่ได้จ่ายค่าสินค้า/บริการที่ซื้อมาจากซัพพลายเออร์
- เงินกู้ยืมระยะสั้น: เงินที่กู้จากธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ต้องคืนภายใน 1 ปี
หนี้สินไม่หมุนเวียน (Non-Current Liabilities): หนี้ที่ ต้องจ่ายคืนเกิน 1 ปี
- เงินกู้ยืมระยะยาว: เงินก้อนใหญ่ที่กู้มาเพื่อลงทุนในระยะยาว
- หุ้นกู้: ตราสารหนี้ที่บริษัทออกเพื่อระดมเงินจากนักลงทุน
 
นักลงทุนควรมองหา:
 
บริษัทที่มีหนี้สินไม่เยอะเกินไปครับ เพราะหนี้สินที่มากเกินไปอาจเป็นภาระและเพิ่มความเสี่ยงให้บริษัทได้ โดยเฉพาะถ้าหนี้สินนั้นกู้มาเพื่อใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่ได้เอาไปลงทุนสร้างรายได้
 
3. ส่วนของผู้ถือหุ้น : "ส่วนที่เป็นของเจ้าของจริงๆ"
 
ส่วนนี้คือ "สิ่งที่เหลืออยู่หลังจากเอาสินทรัพย์ทั้งหมด ไปจ่ายหนี้สินทั้งหมดแล้ว" ครับ เป็นส่วนที่สะท้อนถึงเงินลงทุนของผู้ก่อตั้งและนักลงทุน รวมถึงกำไรสะสมที่บริษัททำมาได้ตลอด
 
- ทุนจดทะเบียน : เงินลงทุนของบริษัท
- กำไรสะสม: กำไรที่บริษัททำได้ในแต่ละปี แล้วเก็บสะสมเอาไว้ ไม่ได้จ่ายเป็นเงินปันผลออกไปหมด
 
นักลงทุนควรมองหา:
 
บริษัทที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพราะนั่นหมายความว่าบริษัทมีกำไรที่ดีและสามารถเก็บสะสมกำไรไว้สร้างความแข็งแกร่งให้กิจการได้เรื่อยๆ ครับ
แค่ 3 ส่วนในงบดุล ก็รู้ว่าบริษัทนี้ "มั่นคง" แค่ไหน
 
สรุป :
 
การอ่านงบดุลช่วยให้เราเห็นภาพรวมว่า บริษัทมีสินทรัพย์เยอะแค่ไหน? เป็นหนี้มากน้อยเพียงใด?และเจ้าของมีเงินลงทุนแค่ไหน และบริษัทสร้างกำไรสะสมได้เท่าไหร่?
ถ้าเพื่อน ๆ เห็นว่าบริษัทมีสินทรัพย์ที่มีคุณภาพเยอะ หนี้สินไม่มากเกินไป และส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโตต่อเนื่อง ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีว่าบริษัทนั้นมี "สุขภาพทางการเงินที่แข็งแรงและมั่นคง" นั่นเอง
 
===================
FINCODE
ซีรีส์ที่จะมาปลดล็อก CODE ลับทางการเงิน
ทั้งเรื่อง การลงทุน และ เรื่องฟินๆ ในโลกการเงิน
ที่ถ้าคุณรู้และใช้ได้จริง วิธีทางการเงินจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
และนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น…
เพราะยังมี FINCODE อีกหลายโค้ดลับ
ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีใช้ “CODEการเงิน” เพื่อให้ชีวิตฟินขึ้น
===================
บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ในการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลก-0151-01 และการเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ใบอนุญาตเลขที่ ส1-0151-01