สรุปหุ้น BEAUTY : บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน)

 
 

BEAUTY ทำธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอางและสกินแคร์หลายแบรนด์ เน้นสารสกัดธรรมชาติ ครอบคลุมทั้งร้านค้า อีคอมเมิร์ซ และส่งออก จุดแข็งคือแบรนด์หลากหลาย กลยุทธ์ O2O และประสบการณ์กว่า 20 ปี โดยเน้นตลาดไทยและเอเชีย


ข้อมูลเบื้องต้น

  ตลาดหลักทรัพย์ที่จดทะเบียน: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

  อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง: บริการ / พาณิชย์

  SET ESG Ratings : -

  ขนาดบริษัท (Market Cap): 868.32 ล้านบาท

 ข้อมูลอัพเดท ณ วันที่ 14/07/68

 

สินค้า และ บริการ

กลุ่มธุรกิจ สินค้า/บริการหลัก รายละเอียด/กลุ่มเป้าหมาย
บริษัทในเครือ (ถ้ามี)
BEAUTY BUFFET เครื่องสำอางหลากหลาย เน้น Mass Market, ราคาคุ้มค่า -
BEAUTY COTTAGE สกินแคร์จากธรรมชาติ Premium, วัตถุดิบธรรมชาติ, กลุ่มรักสุขภาพ -
MADE IN NATURE ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ Premium Mass, วัตถุดิบเกาหลี, ราคาจับต้องได้ -
GINO McCRAY เครื่องสำอางแต่งหน้า Target ช่างแต่งหน้า, กลุ่มผู้ชื่นชอบลุคมืออาชีพ -
SCENTIO สกินแคร์ส่วนบุคคล สำหรับผู้รักการเดินทาง ใช้ส่วนผสมธรรมชาติ -
LANSLEY Functional Skincare ผลิตภัณฑ์แก้ปัญหาผิวเฉพาะ เช่น ไวท์เทนนิ่ง, ลดจุดด่างดำ -
BEAUTY IDOL Skincare Donkey Milk กลุ่มเน้นผิวใส, Anti-Aging, ใช้น้ำนมลา -

BEAUTY สร้างรายได้หลักจากการจำหน่ายเครื่องสำอาง สกินแคร์ อาหารเสริม และอุปกรณ์ความงาม ภายใต้หลายแบรนด์ที่มีจุดเด่นด้านสารสกัดธรรมชาติและดีไซน์หลากหลาย ครอบคลุมการพัฒนาแบรนด์ บริหารช่องทางจัดจำหน่ายทั้งร้านค้า อีคอมเมิร์ซ โมเดิร์นเทรด และตลาดต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจในไทย ควบคู่การขยายสู่เอเชีย โดยเฉพาะจีน ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ กลยุทธ์ O2O การจับมือพันธมิตรทางธุรกิจ และประสบการณ์กว่า 20 ปี เพื่อตอบสนองตลาดความงามที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วและแข่งขันสูงอย่างต่อเนื่อง

สัดส่วนรายได้จากแต่ละธุรกิจ

ช่องทางจำหน่าย รายได้ปี 2566 (ล้านบาท) สัดส่วน % รายได้ปี 2567 (ล้านบาท) สัดส่วน % การเปลี่ยนแปลง
ร้านค้าปลีก (Retail) 207.96 47.16% 202.77 46.53% 🟥ลดลง -2.50%
อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) 38.95 8.83% 42.74 9.81% 🟩เพิ่มขึ้น 9.73%
โมเดิร์นเทรด (Modern Trade) 36.33 8.24% 48.31 11.08% 🟩เพิ่มขึ้น 32.98%
เจเนอรัลเทรด (General Trade) 5.41 1.23% 10.65 2.44% 🟩เพิ่มขึ้น 96.86%
ต่างประเทศ (Oversea) 144.98 32.88% 123.75 28.40% 🟥ลดลง -14.64%
รายได้อื่น 7.33 1.66% 7.59 1.74% 🟩เพิ่มขึ้น 3.55%
รวม 440.97 100.00% 435.8 100.00% 🟥ลดลง -1.17%

ข้อมูลล่าสุดของปี 2567 จาก 56-1 ของบริษัท

**สามารถอัปเดตข้อมูลล่าสุดได้ คลิกที่นี่  Liberator -เทรดหุ้นไทย หุ้น US - Apps on Google Play

 

ความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน

🔹 ฐานรายได้กระจายจากหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ความงาม

+รายได้หลักของ BEAUTY มาจากการจำหน่ายเครื่องสำอาง สกินแคร์ อาหารเสริม และอุปกรณ์ความงาม ภายใต้หลายแบรนด์ เช่น GINO McCRAY, SCENTIO, BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE โดยแต่ละแบรนด์มีจุดเด่นเฉพาะ ทั้งตลาด Mass และ Premium และครอบคลุมช่องทางจัดจำหน่ายทั้งร้านค้าปลีก อีคอมเมิร์ซ โมเดิร์นเทรด และการส่งออกต่างประเทศ ช่วยกระจายความเสี่ยง ไม่พึ่งพาธุรกิจหรือแบรนด์เดียว

🔹 จุดแข็งด้านแบรนด์และกลยุทธ์ O2O

+BEAUTY มีจุดแข็งด้านการพัฒนาแบรนด์ที่มี Storytelling ชัดเจน เช่น BEAUTY BUFFET ที่สื่อความเป็นร้านเครื่องสำอางแบบ “บุฟเฟต์” ให้เลือกสรรได้หลากหลาย หรือ SCENTIO ที่เน้นผลิตภัณฑ์สารสกัดธรรมชาติ ตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ อีกทั้ง BEAUTY มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาดแบบ O2O (Online to Offline) ทั้งในร้านสาขา และแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Lazada, Shopee, Konvy ช่วยเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าหลากหลายกลุ่ม และปรับกลยุทธ์ได้ตามเทรนด์ความงาม

🔹 ความยืดหยุ่นในการปรับตัวตามความต้องการตลาด

+แม้ตลาดความงามมีการแข่งขันสูงและผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมรวดเร็ว BEAUTY แสดงความยืดหยุ่นด้วยการปรับกลยุทธ์ เช่น ปรับลดสาขาร้าน BEAUTY BUFFET เพื่อควบคุมต้นทุน และหันเน้นช่องทางออนไลน์มากขึ้น พร้อมพัฒนาแบรนด์ใหม่และผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น สกินแคร์จากสารสกัดธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ขนาดพกพาที่เหมาะกับตลาด CLMV เพื่อเพิ่มความครอบคลุมตลาดและลดความเสี่ยงจากการพึ่งตลาดใดตลาดหนึ่ง

🔹 โอกาสเติบโตจากการขยายแบรนด์และตลาดต่างประเทศ

+แม้ธุรกิจความงามแข่งขันสูง แต่ BEAUTY ยังมีโอกาสเติบโตจากการรุกตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของบริษัท ผ่านโมเดลต่างๆ เช่น Cross-border E-commerce และ Product License นอกจากนี้ยังวางแผนผลักดันกลุ่มสินค้าใหม่ เช่น สกินแคร์ซองขนาดเล็กที่เหมาะกับตลาดแมส รวมถึงการสร้างแบรนด์ใหม่เพื่อเจาะตลาดที่ไม่ซ้ำกับกลุ่มลูกค้าเดิม เพิ่มโอกาสการเติบโตในอนาคต

ความเสี่ยงของธุรกิจและมาตราการการรับมือ

🔹 ความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากแบรนด์หลัก

-ความเสี่ยง: รายได้ของ BEAUTY ส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาร้านค้าปลีกภายใต้แนวคิด BEAUTY BUFFET ซึ่งในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 46.24% ของรายได้รวม หากแบรนด์หลักหรือร้านค้าปลีกนี้ได้รับผลกระทบ เช่น ความนิยมลดลง ปัญหาผลิตภัณฑ์ หรือการปิดสาขา อาจส่งผลกระทบต่อรายได้และผลประกอบการของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

+มาตรการการรับมือ: BEAUTY พยายามกระจายความเสี่ยงด้วยการสร้างแบรนด์ใหม่ เช่น BEAUTY COTTAGE, SCENTIO และ LANSLEY รวมถึงการขยายช่องทาง e-commerce และการส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากแบรนด์เดียวหรือช่องทางเดียว

🔹 ความเสี่ยงจากการแข่งขันสูงในธุรกิจความงาม

-ความเสี่ยง: ธุรกิจค้าปลีกเครื่องสำอางและสกินแคร์แข่งขันสูงมาก ทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ รวมถึงแบรนด์ใหม่ที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะแบรนด์เกาหลีและญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมสูง หากคู่แข่งสามารถออกสินค้าตรงใจผู้บริโภคหรือทำโปรโมชั่นที่ดีกว่า อาจทำให้ BEAUTY สูญเสียส่วนแบ่งตลาดได้

+มาตรการการรับมือ: BEAUTY ใช้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่แตกต่าง เช่น การพัฒนา Storytelling ของแบรนด์ การเน้นสารสกัดธรรมชาติ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline) เพื่อเชื่อมต่อประสบการณ์ของลูกค้าทั้งหน้าร้านและออนไลน์

🔹 ความเสี่ยงจากความผันผวนของพฤติกรรมผู้บริโภค

-ความเสี่ยง: สินค้าเครื่องสำอางและสกินแคร์มีความไวต่อกระแสและรสนิยมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หาก BEAUTY ปรับตัวหรือพัฒนาสินค้าใหม่ไม่ทัน อาจทำให้สินค้าตกเทรนด์ และส่งผลให้เกิดปัญหาสินค้าคงเหลือสูง

+มาตรการการรับมือ: BEAUTY ติดตามเทรนด์ตลาดอย่างใกล้ชิด และใช้ข้อมูล CRM วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการ อีกทั้งยังปรับกลยุทธ์สินค้าด้วยการออกสินค้าขนาดพกพา หรือสินค้าตอบโจทย์เฉพาะ เช่น สกินแคร์จากสารสกัดธรรมชาติ เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่

🔹 ความเสี่ยงจากการบริหารสินค้าคงเหลือ

-ความเสี่ยง: ธุรกิจของ BEAUTY ต้องลงทุนในสินค้าคงคลังสูง โดยสินค้าความงามมักมีอายุการใช้งานจำกัด และเสี่ยงตกเทรนด์ หากไม่สามารถระบายสินค้าทันเวลา อาจกระทบกระแสเงินสดและทำให้เกิดการตั้งด้อยค่าสินค้าเพิ่มขึ้น โดยในปี 2567 BEAUTY มีระยะเวลาการขายสินค้าสำเร็จรูปเฉลี่ยอยู่ที่ 130 วัน

+มาตรการการรับมือ: BEAUTY ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศติดตามข้อมูลสินค้าคงคลังอย่างละเอียด ทั้งวันผลิต วันหมดอายุ และอัตราการขายของแต่ละ SKU เพื่อวางแผนการผลิตและการจัดซื้อให้สอดคล้องกับตลาด พร้อมจัดโปรโมชันระบายสต็อกเมื่อใกล้หมดอายุ และปรับลดปริมาณการสั่งผลิตเพื่อลดความเสี่ยงสินค้าตกค้าง

🔹 ความเสี่ยงจากต้นทุนค่าเช่าสูงและต้นทุนดำเนินงาน

-ความเสี่ยง: BEAUTY ใช้โมเดลธุรกิจที่ต้องเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้าเป็นหลัก หากยอดขายชะลอตัว หรือผู้บริโภคลดการใช้จ่ายในห้างสรรพสินค้า อาจกระทบต่อรายได้ แต่บริษัทยังต้องแบกรับต้นทุนค่าเช่าต่อเนื่อง

+มาตรการการรับมือ: BEAUTY ได้เริ่มปรับลดจำนวนสาขาที่ไม่ก่อให้เกิดกำไร และมุ่งเน้นการขยายช่องทางออนไลน์ รวมถึงการใช้กลยุทธ์ O2O เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาการขายผ่านหน้าร้านเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังเจรจาเงื่อนไขค่าเช่ากับศูนย์การค้าเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด

โครงการในอนาคต

🔹 พัฒนาศักยภาพแบรนด์และสร้างสินค้าใหม่ BEAUTY มุ่งพัฒนาสินค้าและสูตรใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเน้นผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาติ เช่น Scentio, Lansley และ Beauty Idol ที่พัฒนาไลน์สินค้าใหม่ เช่น ผลิตภัณฑ์ขนาดพกพา ราคาจับต้องได้ และสินค้าที่มีส่วนผสมเฉพาะเพื่อแก้ปัญหาผิวอย่างตรงจุด รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2567 เช่น น้ำหอม BC PRIVATE ACCORD และไลน์ใหม่ของ BEAUTY BUFFET เพื่อเพิ่มความหลากหลายและสร้างความแตกต่างในตลาดความงามที่เปลี่ยนแปลงเร็ว

🔹 ขยายฐานลูกค้าและตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ BEAUTY เดินหน้าขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เช่น จีน ผ่านช่องทาง Cross-border E-commerce และ Product License รวมถึงการขยายตลาด CLMV และ ASEAN สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์ซองที่มีราคาจับต้องได้ เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคใหม่ที่หลากหลายและกระจายความเสี่ยงจากตลาดเดิม

🔹 ใช้เงินลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน BEAUTY ใช้เงินทุนจากการดำเนินงานเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ปรับปรุงภาพลักษณ์แบรนด์ (Re-Branding) และขยายช่องทางออนไลน์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชัน “BEAUTY CLUB” เพื่อสร้างฐานข้อมูลลูกค้าและเพิ่มการซื้อซ้ำ รวมถึงลงทุนในระบบ IT และ CRM เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคและตอบสนองความต้องการได้รวดเร็ว

🔹 พัฒนากระบวนการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืน BEAUTY ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เช่น การเลือกใช้สารสกัดธรรมชาติในผลิตภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดของเสีย บริษัทเน้นการพัฒนากระบวนการผลิตและการตรวจสอบคุณภาพสินค้าทุกล็อต เพื่อรักษามาตรฐานและสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของผู้บริโภค

🔹 ขับเคลื่อนมาตรฐาน ESG และพัฒนาทีมงานมืออาชีพ BEAUTY ให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาล (Good Corporate Governance) และการพัฒนาทีมงานในทุกด้าน ทั้งการตลาด กลยุทธ์ O2O การสร้างประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บริษัทจัดฝึกอบรมพนักงานเพื่อยกระดับทักษะและสร้างมาตรฐานการบริการที่ดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าและพันธมิตร รวมถึงรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง

กราฟราคาหุ้น : BEAUTY


** เพื่อนๆสามารถคลิ้กที่รูปกราฟ เพื่อติดตามข้อมูล RealTime ล่าสุดของวันนี้ได้นะ **

เว็บไซต์บริษัท :  BEAUTY
56-1 รายงานประจำปี 2567 (Annual Report) : คลิ้กที่นี่เพื่อดาวน์โหลด

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

🔹 พัฒนาศักยภาพแบรนด์และสร้างสินค้าใหม่ BEAUTY มุ่งพัฒนาสินค้าและสูตรใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยเน้นผลิตภัณฑ์จากสารสกัดธรรมชาติ เช่น Scentio, Lansley และ Beauty Idol พร้อมพัฒนาไลน์สินค้าใหม่ เช่น ผลิตภัณฑ์ขนาดพกพา ราคาจับต้องได้ และสินค้าที่มีส่วนผสมเฉพาะเพื่อแก้ปัญหาผิวอย่างตรงจุด รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2567 เช่น น้ำหอม BC PRIVATE ACCORD และไลน์ใหม่ของ BEAUTY BUFFET เพื่อเพิ่มความหลากหลายและสร้างความแตกต่างในตลาดความงามที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

🔹 ขยายฐานลูกค้าและตลาดทั้งในไทยและต่างประเทศ BEAUTY เดินหน้าขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เช่น จีน ผ่านช่องทาง Cross-border E-commerce และ Product License รวมถึงการขยายตลาด CLMV และ ASEAN สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์ซองที่มีราคาจับต้องได้ เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคใหม่ที่หลากหลาย และกระจายความเสี่ยงจากตลาดเดิม

🔹 ใช้เงินลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถแข่งขัน BEAUTY ใช้เงินทุนจากการดำเนินงานเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ปรับปรุงภาพลักษณ์แบรนด์ (Re-Branding) และขยายช่องทางออนไลน์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชัน “BEAUTY CLUB” เพื่อสร้างฐานข้อมูลลูกค้าและเพิ่มการซื้อซ้ำ รวมถึงลงทุนในระบบ IT และ CRM เพื่อติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคและตอบสนองความต้องการได้รวดเร็ว

🔹 พัฒนากระบวนการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืน BEAUTY ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เช่น การเลือกใช้สารสกัดธรรมชาติในผลิตภัณฑ์ การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดของเสีย บริษัทเน้นการพัฒนากระบวนการผลิตและการตรวจสอบคุณภาพสินค้าทุกล็อต เพื่อรักษามาตรฐานและสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของผู้บริโภค

🔹 ขับเคลื่อนมาตรฐาน ESG และพัฒนาทีมงานมืออาชีพ BEAUTY ให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาล (Good Corporate Governance) และการพัฒนาทีมงานในทุกด้าน ทั้งด้านการตลาด กลยุทธ์ O2O การสร้างประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน บริษัทจัดฝึกอบรมพนักงานเพื่อยกระดับทักษะและสร้างมาตรฐานการบริการที่ดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าและพันธมิตร รวมถึงรักษาฐานลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

 
ซื้อหุ้น BEAUTY ได้ที่ Liberator | ไม่มีขั้นต่ำ เซฟต้นทุนให้คุณตั้งแต่บาทแรก