ย้อนรอย 5 วิกฤตการเงิน เรียนรู้อดีตเพื่อเข้าใจอนาคต
เวลาพูดถึง “วิกฤต” เรามักมองว่าเป็นช่วงที่มืดมนที่สุดของชีวิต แต่หากเราลองพลิกมุมกลับ … วิกฤตเหล่านี้คือ บทเรียนสำคัญ ที่ผลักให้โลกพัฒนา และเปิดโอกาสใหม่ ๆ เสมอ
ในฐานะนักลงทุน การเรียนรู้อดีตไม่ใช่เพื่อจมอยู่กับมัน แต่เพื่อสร้าง เกราะป้องกัน ให้เรารับมือกับอนาคต
วันนี้เราจะนั่ง Time Machine ย้อนรอยไปเจอ 5 วิกฤตใหญ่ ที่สั่นสะเทือนโลก เศรษฐกิจ และชีวิตผู้คน แล้วสกัดออกมาเป็น บทเรียนการเงินที่ใช้ได้จริง
🌍 วิกฤตแรก: 1929 – The Great Depression
จุดเริ่มต้น
สหรัฐอเมริกาในทศวรรษ 1920 คือยุคทองแห่ง “Roaring Twenties” ตลาดหุ้นเฟื่องฟู ผู้คนเชื่อมั่นในอนาคต หลายคนถึงขั้นกู้เงินเพื่อซื้อหุ้น เพราะคิดว่า “ยังไงหุ้นก็ขึ้น”
ความผิดพลาด
29 ตุลาคม 1929 หรือที่เรียกว่า Black Tuesday ตลาดหุ้นพังทลาย หุ้นร่วงแบบไร้จุดหยุด ธนาคารล้มเป็นแถบ คนตกงานหลายสิบล้าน ครอบครัวแตกสลาย เศรษฐกิจหดตัวอย่างหนัก
– GDP สหรัฐหดตัว ~29% (1929–1933)
– อัตราว่างงานพุ่งแตะ ~25%
นี่คือ เศรษฐกิจที่มืดมนที่สุดของศตวรรษที่ 20
บทเรียน
– “หนี้และเลเวอเรจ” ไม่ใช่สิ่งผิด แต่เป็นดาบสองคม
– ใช้ถูกจังหวะ โตไว แต่ถ้าใช้ผิด มันย้อนมาทำลายเร็วกว่าที่คิด
🇹🇭 วิกฤตสอง: 1997 – วิกฤตต้มยำกุ้ง
จุดเริ่มต้น
ประเทศไทยตรึงค่าเงินบาทที่ 25 บาท/ดอลลาร์มาเป็นเวลานาน นักลงทุนและภาคเอกชนจึงกู้เงินดอลลาร์จำนวนมหาศาล มาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงการที่ไม่ก่อรายได้
ความผิดพลาด
เมื่อเงินทุนต่างชาติไหลออก ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องประกาศ ลอยตัวค่าเงินบาท (2 ก.ค. 1997) ค่าเงินรูดไปกว่า 56 บาท/ดอลลาร์ หนี้ต่างประเทศที่กู้ไว้พุ่งขึ้น 2 เท่าในทันที
– บริษัทล้มละลาย
– ธนาคารเจ๊ง
– คนตกงานเป็นล้าน
– ไทยต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF วงเงินกว่า $17 พันล้าน
บทเรียน
– หนี้เงินตราต่างประเทศคือความเสี่ยงค่าเงินที่หลายคนมองข้าม
– เวลาลงทุนต่างประเทศ อย่าลืมว่าเราไม่ได้เสี่ยงแค่ราคาหุ้น แต่ยังเสี่ยงค่าเงินด้วย
– การลงทุนในกองทุนต่างประเทศ สามารถเลือกแบบ Hedged (ป้องกันค่าเงิน) หรือ Unhedged (ปล่อยตามตลาด) ควรเลือกให้เหมาะกับความเสี่ยงที่เรารับได้
💻 วิกฤตสาม: 2000 – ฟองสบู่ดอทคอม
จุดเริ่มต้น
ยุคอินเทอร์เน็ตเฟื่องฟู นักลงทุนทั่วโลกเชื่อว่าบริษัทที่ลงท้ายด้วย “.com” จะรุ่งแน่ หุ้นเทคโนโลยีพุ่งแรงราวกับไม่มีวันหยุด
ความผิดพลาด
บริษัทจำนวนมากไม่มีรายได้จริง ไม่มีโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน ฟองสบู่แตก
– NASDAQ ร่วง –77% จากจุดสูงสุด (มี.ค. 2000) ถึง ต.ค. 2002
– นักลงทุนสูญเงินมหาศาล
แต่ไม่ใช่ว่าทุกบริษัทจะล้ม … Amazon และ Google ที่มีโมเดลธุรกิจจริง กลับรอดและเติบโตจนเป็นยักษ์ใหญ่ของโลก
บทเรียน
– เทรนด์จริงอาจอยู่ต่อ แต่ไม่ใช่ทุกบริษัทในเทรนด์นั้นจะรอด
– อย่าลงทุนตาม “เรื่องเล่า” ต้องมองลึกไปถึง Unit Economics และเส้นทางสู่กำไร
– แยกให้ออกระหว่าง “บริษัทที่สร้างคุณค่าได้จริง” กับ “บริษัทที่มีแค่เรื่องเล่า”
🍔 วิกฤตสี่: 2008 – วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
จุดเริ่มต้น
ธนาคารสหรัฐแข่งกันปล่อยกู้บ้าน แม้กับคนที่ไม่มีรายได้มั่นคง เพราะคิดว่าอย่างไรก็เอาหนี้ไปแปลงเป็นตราสาร (MBS/CDO) ขายต่อได้
ความผิดพลาด
หนี้เสียสะสมจนระเบิด → 15 ก.ย. 2008 Lehman Brothers ธนาคารอายุ 158 ปี ประกาศล้มละลาย โลกการเงินสะเทือนทั้งใบ นักลงทุนสูญเงินนับล้านล้านดอลลาร์
บทเรียน
– คำว่า “Too Big To Fail” ไม่จริง ธนาคารยักษ์ใหญ่ยังล้มได้
– เวลาลงทุนต้องถามตัวเองว่า “รายได้และกำไรที่เห็น มาจากความยั่งยืนหรือแค่ภาพลวงตา?”
– อย่าลงทุนในสิ่งที่ซับซ้อนเกินเข้าใจ
🦠 วิกฤตสุดท้าย: 2020 – COVID-19 Shock
จุดเริ่มต้น
สนามบินว่างเปล่า เมืองล๊อกดาวน์ ธุรกิจหยุด โลกทั้งใบเหมือนกดปุ่มหยุดชั่วคราว
ความผิดพลาด
ตลาดหุ้นร่วงเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ → S&P 500 ดิ่ง –34% ภายใน 33 วัน
แต่สิ่งที่ต่างคือ รัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลกอัดเงินมหาศาล (QE + Stimulus เช่น CARES Act ~$2.2T) หุ้นเทคกลับพุ่งแรง Tesla, Zoom, Shopify กลายเป็นผู้ชนะ
บทเรียน
– วิกฤตคือทั้ง “หายนะ” และ “โอกาส”
– ผู้แพ้คือคนที่หมดสภาพคล่อง ไม่ได้เตรียมตัว
– ผู้ชนะคือคนที่มีเงินสดพร้อม และใจที่นิ่งพอจะซื้อในวันที่ทุกคนกลัว
ที่มา (References)
– Federal Reserve History: The Great Depression
– The Economic Crisis in Thai: The Role of the IMF
– dot-com bubble stock market [1995–2000
– Statement Regarding Recent Market Events and Lehman Brothers (Updated)
– World Bank — Global Economic Prospects June 2020 (World Bank)
- IMF — World Economic Outlook, October 2020