การเรียกวางหลักประกันเพิ่ม และ การบังคับปิดสถานะสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX)
สำหรับนักลงทุนที่มีบัญชี Derivative หรือกำลังเทรดสินค้าในหมวด TFEX (SET50 Index futures, SET50 Index options, เทรดทอง Gold online Futures, Gold Futures) ความเสี่ยงหนึุ่งที่ไม่รู้ไม่ได้เลย คือ เรื่องของ การบริหารเงินทุน
คำศัพท์ที่เราควรเข้าใจในตลาด TFEX:
เพราะสินค้า TFEX นั้นมีความซับซ้อนสำคัญอยู่ที่เรื่องของ หลักประกัน (Margin) และมือใหม่หลายท่านที่กระโดดเข้ามามองว่า TFEX ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง มีความผันผวนทำให้หาโอกาสได้งาย อาจต้องเจ็บตัวกันไปหากไม่เข้าใจหัวข้อนี้
ศัพท์สำคัญที่เราจะพูดถึงกัน
- EB (Equity Balance)
คือ เงินต้นทั้งหมดที่เรามีในบัญชี - EE (Excess Equity)
คือ เงินต้น หักด้วย หลักประกันขั้นต้น (IM) หรือก็คือเงินที่เราเหลือในบัญชี - MR (Margin required)
คือ หลักประกันที่เราได้วางเอาไว้เพื่อเปิด-ถือสถานะ - IM (Initial Margin)
คือ หลักประกันขั้นต้น ขั้นต่ำ ที่เราต้องมี ถ้าจะเปิดสถานะเพิ่ม - MM (Maintenance Margin)
คือ หลักประกันรักษาสภาพ คือ เงินหลักประกันที่เราต้องมีในพอร์ตเพื่อให้ถือสถานะได้ (ถ้ามีต่ำกว่านี้เสี่ยงมากๆ) - FM (Forced Margin)
คือ หลักประกันปิดสถานะ คือ เงินหลักประกันขั้นต่ำขั้นสุดท้าย ถ้ามียอดเงินน้อยกว่าหลักประกันนี้เมื่อไหร่เราจะถูกโบรกเกอร์ บังคับปิดสถานะ (Force Sell; Liquidation)
ความสัมพันธ์เบื้องต้นที่เราอาจจะต้องย้อนกลับขึ้นมาอ่านหลายรอบเพื่อทำความเข้าใจ
- เมื่อเปิดสถานะ TFEX เพิ่มขึ้น 1 สัญญา
- EE จะ ลดลง
- MR จะ เพิ่มขึ้น
- IM, MM, FM จะเพิ่มขึ้น
- เมื่อปิดสถานะ TFEX ออกไป 1 สัญญา
- EB จะ เพิ่มขึ้น ถ้าได้กำไร และ ลดลง เมื่อขาดทุน
- EE จะ เพิ่มขึ้น จากหลักประกัน MR ที่คลายออกมา
- MR จะ ลดลง เพราะปิดสถานะไปแล้ว เงินหลักประกันที่ต้องใช้ก็น้อยลง
- IM, MM, FM จะลดลง
ถ้าลูกค้าเปิดสถานะเก็งกำไร ทองคำ วางเงินไว้ 50,000 บาท เอาไว้แล้วเกิดผิดทาง ขาดทุนอยู่ 5,000 บาท สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ
- EB (Equity Balance) มียอดเท่าเดิม 50,000 บาท
- EE (Excess Equity) ณ ตอนที่เปิดสถานะเสร็จจะลดลง เท่ากับค่าหลักประกันขั้นต้น (IM)
- อ้างอิงจากประกาศของ Liberator ณ วันที่ 8 พ.ค. 2567 Gold online Futures มีหลักประกันขั้นต้น 33,425 บาท (ประกาศอัตราหลักประกันสินค้า TFEX ของ Liberator)
- EE ของนักลงทุนจะเท่ากับ 50,000 – 33,425 – 5,000 = 11,575 บาท
Margin Call คืออะไร แก้ไขอย่างไร
มีอยู่ 3 กรณีที่จะเกิดเหตุการณ์ Margin Call หรือ เหตุการณ์ที่ทางบริษัทหลักทรัพย์โทรไปหาลูกค้าแจ้งเตือนว่าเงินในบัญชีเหลือน้อยแล้ว มีความเสี่ยงว่าอาจจะต้องปิดสถานะ โดยจะโทรแจ้งเมื่อ
- EE (Excess Equity) น้อยกว่า 0 พูดอีกอย่าง คือ เงินลงทุนส่วนที่หักยอดขาดทุนไปน้อยกว่าค่าหลักประกันขั้นต้นแล้ว สถานะเรากำลังอยู่ในช่วงอันตราย
- EB (Equity Balance) หรือ Equity น้อยกว่า Total MM (Maintenance Margin) พูดอีกอย่าง คือ เงินสดทั้งบัญชีตอนนี้น้อยกว่าหลักประกันรักษาสภาพแล้ว จำเป็นต้องเติมเงินเพิ่มหรือปิดสถานะ
- EB (Equity Balance) หรือ Equity น้อยกว่า Total FM (Forced Margin) พูดอีกอย่าง คือ เงินสดทั้งบัญชีตอนนี้มีน้อยกว่าหลักประกันปิดสถานะไปแล้ว ท่านกำลังจะถูกบังคับปิดสถานะที่ท่านเปิดไว้ทั้งหมด
โดยวิธีแก้ปัญหานี้ มี 2 วิธีหลักๆ คือ
ถ้าเรากำลังคิดว่าเราอาจจะผิดทางแล้ว ไม่อยากถือสถานะแล้ว เราสามารถปิดสถานะบางส่วนออกให้ EE กลับมาเป็นบวก
- ในกรณีที่ EE ติดลบ เราสามารถปิดสถานะบางส่วนออก เพื่อให้เงินหลักประกันที่เราวางไว้ คลายออกมากลายเป็น EE ครับ
- ตัวอย่าง: นักลงทุนเปิด Short S50H24 10 สัญญา แต่ตลาดกลับเป็นขาขึ้น ทำให้ขาดทุนและมีค่า EE ติดลบ 6,000 บาท โดยมีหลักประกัน S50 Index Futures ต่อ 1 สัญญาเท่ากับ 6,790 บาท เพียงปิด 1 สัญญาจะได้เงินหลักประกันคืนมาเป็น EE ทำให้ถือสถานะที่เหลือต่อได้
- ในกรณีที่ EB < MM เราจะต้องไปตรวจสอบตัวเลข MR (หลักประกันที่เราวางค้ำไปแล้วในการเปิดสถานะ) และเลข Total MM ที่เรามี เทียบกับเงินสดในบัญชี
- ถ้าหลักประกันขั้นต้นที่ต้องจ่ายเสำหรับ S50H24 เท่ากับ 6,790 บาท และ
- มีสถานะ Short S50H24 อยู่ 6 สัญญา
- จะได้ว่า Total MR (หลักประกันที่จ่ายไปแล้ว) = 6,790 x 6 = 40,740 บาท
- จะได้ค่า MM (Maintenance Margin) = 70% ของ 40,740 = 28,518 บาท
- สมมติว่าสถานะนี้ขาดทุนอยู่ ทำให้เหลือ EB 25,000 บาท
- EB < MM หรือ 25,000 บาท < 28,518 บาท คือ มีเงินน้อยกว่าหลักประกันที่ต้องวางเอาไว้
- ถ้าเราปิดสถานะไป 3 สัญญา คิดเป็น MR = 20,370 บาท และ MM = 14,259 บาท
- เราจะเหลือค่า EB = 25,000 บาท ในขณะที่ MM ลดลงเหลือ 14,259 บาท
สรุปสั้นๆ คือ ปิดสถานะบางส่วนเพื่อให้ MR, IM, MM, FM ลดลง ให้เงินในบัญชีเราปลอดภัย ไม้เสี่ยงถูกบังคับปิดสถานะได้
ฝากเงินเพิ่มเข้ามาให้เพียงพอหรือมากกว่ายอดที่เรียก
ในกรณีที่ EE ติดลบ เราสามารถฝากเงินเข้าบัญชี Derivative เพิ่ม ให้เท่ากับหรือมากกว่ายอดที่ EE ติดลบอยู่ได้ เช่น EE = -6,000 บาท เราก็เติมเงิน 6,000 บาทเข้าไปจะทำให้เราไม่เสี่ยงถูกปิดสถานะ
ในกรณีที่ EB < MM เราสามารถฝากเงินเข้าบัญชี Derivative เพิ่ม ให้ยอด EB มากกว่าค่า MR ได้ จากตัวอย่างด้านบน ถ้าเราเติมเงินเข้าไปให้มากกว่าหรือเท่ากับส่วนต่างนั้นได้ก็เรียบร้อย
ทั้งนี้การเติมเงินหรือการปิดสถานะ ถ้าไม่ทำให้ครบยอดจะเกิดเหตุการณ์
- ภายในเวลา 15.15 น. ของวันนั้น ๆ ลูกค้าจะถูกล็อก ไม่ให้เปิดสถานะเพิ่มเติมทุกกรณีในวันแรก (T+1)
- หลังจากได้รับสาย Margin Call แล้ว แม้ว่าราคาจะกลับตัวมาทำให้เราไม่ขาดทุนหนักเท่าวันก่อนหน้านี้แล้ว ท่านยังคงต้องทำรายการเข้ามาภายในเวลา 11.30 น. ของวันที่ T+2 หากไม่ทำอาจจะถูกบังคับปิดสถานะได้
ในกรณีสุดท้าย ถ้า EB < FM ไปแล้ว
กรณีนี้ คือ กรณีที่เงินในบัญชี Derivative มีน้อยกว่าหลักประกันปิดสถานะ (Forced Margin) ไปแล้ว หากทางลูกค้าไม่เข้ามาแก้ปัญหา (ปิดสถานะบางส่วน หรือ ฝากเงินวางหลักประกันเข้ามาเพิ่ม) ท่านจะถูกบังคับปิดสถานะที่ถืออยู่ บังคับให้รับรู้ผลขาดทุนจากการลงทุน
ตัวอย่าง:
- นักลงทุน A เปิดสถานะ Short GOH24 10 สัญญา
- GOH24 มีหลักประกันขั้นต้นสัญญาละ 33,425 บาท 10 สัญญา เราจะได้เลข Total MR = 334,250 บาท
- สมมติว่ายอด FM (Forced Margin) เท่ากับ 100,275 บาท
- แต่สถานะ Short GO Futures ไม่สวยงามนัก ทำให้ขาดทุนอยู่และเหลือ EB 70,000 บาท
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงกลางวันที่ตลาดเปิดอยู่ ต้องฝากเงินเพิ่มให้ยอด EB กลับมาเท่ากับยอด MM ก่อนเวลาตลาด TFEX ปิด 1 ชม. (อย่างช้าที่สุด คือ 15.55 ของวัน)
ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาด TFEX ปิดไปแล้ว ต้องฝากเงินเพิ่มให้ยอด EB กลับมาเท่ากับยอด MM ก่อนที่ตลาด TFEX จะปิดทำการเช้าวันถัดไป 1 ชั่วโมง (อย่างช้าที่สุด 11.30 ของวันถัดไป)
Tip: หากนักลงทุนเชื่อว่าในระยะยาว สถานะนี้จะกลับมาถูกทาง สามารถฝากเงินเพิ่มเข้ามาให้ยอดมากกว่ายอด MR ได้ สามารถประเมินจากปัจจัยทางเทคนิคและคำนวณส่วนต่างนี้และเติมเงินเผื่อเอาไว้ก่อนได้เลย
________
เปิดบัญชีกับ Liberator วันนี้ ฟรีค่าคอม 1 เดือน (ถึงผ่านช่วงฟรีไปแล้วค่าคอมก็ยังถูกมากๆ) ได้ที่: https://go.liberator.co.th/xlnX/LIBDL