หลายครั้งเราเข้าใจในเหตุผลของการกระทำ หลายครั้งเราก็ไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงแบบนั้น และก็อีกหลายครั้งที่ทำไปด้วยอคติหรืออารมณ์ เรารีบขายหุ้นทั้งๆ ที่มันน่าจะไปต่อ เรารีบซื้อหุ้นทั้งๆ ที่ราคาร่วงหนัก ทำไมเราถึงทำแบบนี้กันนะ วันนี้วิตามินหุ้นจะมาเล่าเรื่องราวสนุกๆ เกี่ยวกับจิตวิทยาการลงทุน ตอนนี้ขอเล่าในกรณีเมื่อหุ้นเป็นขาขึ้นกันครับ
เหตุผลสำคัญเป็นเพราะ เมื่อราคาขึ้น เหมือนเป็นสัญญาณที่ทุกคนเห็นตรงกันว่าดี ถ้าซื้อแล้วราคายิ่งขึ้นก็จะกำไร ก็ยิ่งมองดี มองว่าตัวเองถูก เพราะนำเอาผลลัพธ์ที่หุ้นขึ้นกลับมาเป็นเหตุบอกว่าหุ้นดี ซึ่งจริงๆ แล้ว เราไม่ควรเอาการที่ราคาขึ้นหรือลงมาเป็นเหตุที่บอกว่าหุ้นดีหรือไม่ดี เราควรมองที่ตัวธุรกิจ การเติบโต และมูลค่าของกิจการมากกว่า ส่วนราคานั้นจะเป็นผลลัพธ์ที่ตามมาหากเราวิเคราะห์ได้ถูกต้อง
อาการแบบนี้ทำให้เราประมาท รีบซื้อตามคนอื่น ตามกระแสสังคม โดยมองแต่แง่ดีเป็นหลัก ขาดการคิดหรือศึกษาอย่างรอบคอบด้วยตัวเอง ปัญหาที่ตามมาคือ ถ้าหุ้นขึ้นต่อเราก็ดีใจ แต่ตอบไม่ได้ว่าจะขายเมื่อไหร่ ถ้าหุ้นลงเราก็เครียด ไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี เพราะไม่ได้คิดด้วยตัวเองตั้งแต่ต้น
• อย่างที่สอง กำไร 30% อยู่ดีๆ หุ้นขึ้นมาเยอะแล้วซื้อเพิ่ม กำไรเหลือแค่ 15% ดูไม่สวย ไม่เอาดีกว่า โดยลืมคิดไปว่า ถ้าเป็นตัวเงินมันเยอะมากเลยนะ ถ้าหุ้นเกิดขึ้นไปต่อ แล้วที่สำคัญ เราไม่ได้เอาเปอร์เซ็นต์สวยๆ ไปโชว์ใคร แต่เราต้องการกำไรเป็นเงินที่มากกว่าเพื่อตัวเองไม่ใช่หรือ
หุ้นขึ้นเยอะ เราจะเริ่มหลงรักหุ้นตัวเอง พยายามหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้ามาสนับสนุนความคิดตัวเองว่า หุ้นเราดี ต้องไปต่อ มีข่าวดีแบบนั้นแบบนี้ เป็นอาการที่เรียกว่า Confirmation Bias หรือ อคติของการเข้าข้างตัวเอง ซึ่งหลายครั้งก็อาจทำให้เรามองข้ามข้อมูล ข้อเท็จจริงบางอย่างที่จำเป็น ใครไม่เห็นด้วยกับเรา ก็ทำเป็นเมินไม่สนใจฟัง เราเลยมองแต่ข้อดี ไม่ขายหุ้นทั้งๆ ที่มันไม่ดีแล้ว
ปัญหาคลาสสิก ตอนซื้ออะง่าย ยิ่งหุ้นขึ้น ยิ่งเห็นกำไร ยิ่งไม่อยากขาย ลุ้นว่าขออีกนิดจะเด้งแล้ว ค่อยขายละกัน หรือยังไม่ถึงราคาเป้าหมายของนักวิเคราะห์เลย รอให้ถึงก่อนแล้วค่อยขาย แต่เราต้องไม่ลืมว่า คนที่ซื้อหุ้นแบบเดียวกับเรามีอีกเป็นพันเป็นหมื่นคน เป้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความพอใจไม่เท่ากัน และหุ้นเป็นสิ่งที่ dynamic กลยุทธ์เปลี่ยนแปลงได้ คู่แข่งก็สู้ได้ สถานการณ์เปลี่ยน กำไรก็เปลี่ยนแปลงได้